Curve of Change episode 1
งานเขียนนี้แปล และ edit จากต้นฉบับของ
Prof. Erin Malone, University of Minnesota
Curve of Change episode I
มีหลายงานวิจัยในชั้นเรียนที่พิสูจน์ว่า Active
learning ให้ผลดีในการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้
และการคงอยู่ของความรู้ต่อผู้เรียน โดยเฉพาะในสายวิทยาศาสตร์
ซึ่งรวมถึงสาขาสัตวแพทยศาสตร์ด้วย แต่เป็นเรื่องยากจริงๆ ที่จะนำเอา Active
learning บรรจุเข้าไปในหลักสูตรโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการสอนนี้เลย
Active learning เช่น การสอนแบบห้องเรียนกลับทาง (flipped
classroom) อาศัยการศึกษาความรู้พื้นฐานด้วยตนเองของผู้เรียนก่อนที่จะเข้าสู่ห้องเรียน
ย่อมนำมาซึ่งความเครียด และความต่อต้าน ผู้ที่จะนำเทคนิคนี้มาใช้
จำเป็นต้องเข้าใจระยะต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะเกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
Kubler-Ross change curve มักถูกนำมาใช้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงหรือการสูญเสีย
ทั้งในแวดวงธุรกิจ และการบริหารองค์กร จึงเริ่มมีการนำมาใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงในด้านการเรียนรู้
Flipped classroom
คือการเปลี่ยนแปลงที่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับนักศึกษาโดยเฉพาะในกลุ่มวิชาชีพทางการแพทย์
นักเรียนจำนวนหนึ่งที่เรียนได้คะแนนดีในชั้นเรียนแบบเดิมๆ สิ่งแวดล้อมเดิมๆ
นักเรียนกลุ่มนี้ย่อมจะคุ้นเคยและรู้สึกปลอดภัยในห้องเรียนแบบเดิมๆ
แต่คลื่นสมองของนักเรียนกลุ่มนี้จะแอคทีฟในขณะที่หลับมากกว่าขณะที่ฟังบรรยาย
แต่ไหนแต่ไร มนุษย์จะตื่นตัว ตื่นเต้น
หรือแม้แต่ตื่นกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมรอบตัว
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอนก็ย่อมส่งผลต่อการตอบสนองแบบนี้เช่นกัน
สมองของผู้เรียนจะถูกระตุ้นอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดพฤติกรรม flight or
fight response
หลังจากนั้นสมองจะเริ่มสั่งการเพื่อจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น
ระยะนี้นี่เองที่ curve ของการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มแสดงให้เห็น
Kubler-Ross change curve ได้อธิบายขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงอยู่
7 ขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นช็อค (Shock)
จนถึงขั้นบูรณาการ (Integration)
สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงแต่ละอย่างอาจต้องการระยะเวลาของแต่ละขั้นตอนแตกต่างกัน
เช่น การเปลี่ยนแปลงจากการสูญเสีย อาจะไม่ต้องการการเร่งรัดเวลาในแต่ละขั้นตอน แต่ในการเรียนการสอนยิ่งสามารถลดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนได้มากเท่าไรยิ่งดี
เพื่อให้ผู้เรียนไปถึงขั้นบูรณาการได้เร็วที่สุด
1.
ขั้นช็อค (Shock) ขั้นตอนนี้จะข้ามผ่านได้อย่างรวดเร็ว
หากผู้เรียนได้รับข้อมูลรวมถึงเหตุผลที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก่อน
2. ขั้นหวาดกลัวและปฏิเสธ (Denial หรือ Panic) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และจะส่งผลต่อประสิทธิผลในการทำงานหรือการเรียนอย่างแน่นอน ยิ่งการตื่นกลัวสูงมาก จะทำให้ความเครียดสูงมากจนเกินกว่าที่เรียนรู้สิ่งใดๆได้ การลดผลกระทบของขั้นตอนนี้อาจทำได้โดยการเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ก่อน เพื่อฝึกให้เกิดความคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ
3. ขั้นหวาดหวั่น (Frustration) ขั้นตอนนี้สมองยังอยู่ระหว่างความพยายามในการปรับเข้าสู่มาตรฐานใหม่ แต่ยังไม่ยอมรับทั้งหมด แต่ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญต่อการเรียนรู้ และการคงอยู่ของความรู้ เพียงแต่ผู้เรียนจะไม่เห็นประโยชน์ดังกล่าว และหากมีการสำรวจความเห็นผู้เรียนในระยะนี้ อาจได้รับ feedback ว่า วิชานี้ยาก, ผมไม่สามารถเรียนแบบนี้ได้, หรือ หนูไม่ได้จ่ายเงินมาเพื่อมาเรียนเองแบบนี้... หากบางคนไม่สามารถข้ามผ่านขั้นตอนนี้ได้ ผู้สอนก็จะได้รับ feedback แบบเดียวกันนี้เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน การลดปัญหาในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยการอธิบายซ้ำๆ ว่าเหตุใดผู้สอนถึงต้องพาผู้เรียนมาทุกข์ทรมาณแบบนี้ ข้อมูลจากงานวิจัยหรือแหล่งต่างๆ จะช่วยได้มากโดยเฉพาะนักเรียนในกลุ่มวิชาชีพจะยอมรับได้ง่ายขึ้น
4. ขั้นซึมเศร้า (Depression) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนปกติที่ต่อมาจากขั้นหวาดหวั่น ผู้เรียนยังคงรู้สึกยาก ไม่เห็นความหวังใดๆ และไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม สมองลดการหลั่งอะดรีนาลิน ในช่วงนี้ไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียนจมอยู่กับท้อแท้ ผู้สอนสามารถช่วยเหลือผู้เรียนในขั้นตอนนี้ด้วยการสร้างกำลังใจ เช่น ชมเชยในสิ่งที่ผู้เรียนทำได้ดี หรือชมเชยผู้เรียนที่สามารถก้าวข้ามผ่านความรู้สึกในสามขั้นตอนแรกมาได้ หากสามารถดึงจุดที่ผู้เรียนทำได้สำเร็จมาให้เห็น ผู้เรียนจะยิ่งมีกำลังใจสูงขึ้น และหากผู้เรียนขอพบปะพูดคุยควรจัดเวลาให้พบโดยเร็วที่สุด
5. ขั้นทดลอง (Experiment) ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะสามารถทำกิจกรรมได้ดีขึ้น และเริ่มเข้าใจว่าความผิดพลาด ความรู้สึกแย่ๆที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้ใครถึงตาย บางคนอาจตระหนักได้ว่าได้เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้น ผู้เรียนจะเริ่มอยากรู้อยากลองและผลักดันตัวเองออกนอก comfort zone มากขึ้น ผู้สอนควรสังเกตพฤติกรรมนี้และให้รางวัลหรือชมเชย ไม่จำเป็นต้องเป็นรางวัลที่มีมูลค่าเงินสูง แต่มีค่าทางใจ เช่น ให้ดาวติดสมุด ลูกอม เป็นต้น กลุ่มไหนได้รางวัลเหล่านี้มากที่สุดอาจได้รางวัลใหญ่ เช่น คุกกี้ ตอนจบคลาส
6. ขั้นตัดสินใจ (Decision) หากขั้นตอนทดลองผ่านไปได้ด้วยดี ผู้เรียนจะตัดสินใจยอมรับ หยุดต่อต้าน และลงมือตั้งใจทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ในขั้นนี้ยังเร็วไปที่จะบอกว่าผู้เรียนได้เปลี่ยนทัศนคติแล้ว
7. ขั้นบูรณาการ (integration) ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะสามารถรวบรวมสิ่งที่เรียนรู้มาประกอบร่าง และจดจำบันทึกลงในสมอง ผู้เรียนจะสามารถต่อยอดนำเอาความรู้ดังกล่าวมาพัฒนาทักษะใหม่ๆ แต่ผู้เรียนจะไม่รู้ตนเอง ผู้สอนจะต้องชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการเหล่านั้น
จจะเห็นว่าผู้สอนมีความสำคัญในการก้าวผ่านทุกขั้นตอนของผู้เรียนในรูปแบบ active learning การจัดการทุกขั้นตอนต้องอาศัยความใส่ใจ เรียนรู้พฤติกรรมผู้เรียน การวางแผนรับมือ และเลือกวิธีและเวลาตอบสนองที่ถูกต้อง
2. ขั้นหวาดกลัวและปฏิเสธ (Denial หรือ Panic) ขั้นตอนนี้ผู้เรียนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และจะส่งผลต่อประสิทธิผลในการทำงานหรือการเรียนอย่างแน่นอน ยิ่งการตื่นกลัวสูงมาก จะทำให้ความเครียดสูงมากจนเกินกว่าที่เรียนรู้สิ่งใดๆได้ การลดผลกระทบของขั้นตอนนี้อาจทำได้โดยการเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ก่อน เพื่อฝึกให้เกิดความคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ
3. ขั้นหวาดหวั่น (Frustration) ขั้นตอนนี้สมองยังอยู่ระหว่างความพยายามในการปรับเข้าสู่มาตรฐานใหม่ แต่ยังไม่ยอมรับทั้งหมด แต่ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญต่อการเรียนรู้ และการคงอยู่ของความรู้ เพียงแต่ผู้เรียนจะไม่เห็นประโยชน์ดังกล่าว และหากมีการสำรวจความเห็นผู้เรียนในระยะนี้ อาจได้รับ feedback ว่า วิชานี้ยาก, ผมไม่สามารถเรียนแบบนี้ได้, หรือ หนูไม่ได้จ่ายเงินมาเพื่อมาเรียนเองแบบนี้... หากบางคนไม่สามารถข้ามผ่านขั้นตอนนี้ได้ ผู้สอนก็จะได้รับ feedback แบบเดียวกันนี้เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน การลดปัญหาในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยการอธิบายซ้ำๆ ว่าเหตุใดผู้สอนถึงต้องพาผู้เรียนมาทุกข์ทรมาณแบบนี้ ข้อมูลจากงานวิจัยหรือแหล่งต่างๆ จะช่วยได้มากโดยเฉพาะนักเรียนในกลุ่มวิชาชีพจะยอมรับได้ง่ายขึ้น
4. ขั้นซึมเศร้า (Depression) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนปกติที่ต่อมาจากขั้นหวาดหวั่น ผู้เรียนยังคงรู้สึกยาก ไม่เห็นความหวังใดๆ และไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม สมองลดการหลั่งอะดรีนาลิน ในช่วงนี้ไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียนจมอยู่กับท้อแท้ ผู้สอนสามารถช่วยเหลือผู้เรียนในขั้นตอนนี้ด้วยการสร้างกำลังใจ เช่น ชมเชยในสิ่งที่ผู้เรียนทำได้ดี หรือชมเชยผู้เรียนที่สามารถก้าวข้ามผ่านความรู้สึกในสามขั้นตอนแรกมาได้ หากสามารถดึงจุดที่ผู้เรียนทำได้สำเร็จมาให้เห็น ผู้เรียนจะยิ่งมีกำลังใจสูงขึ้น และหากผู้เรียนขอพบปะพูดคุยควรจัดเวลาให้พบโดยเร็วที่สุด
5. ขั้นทดลอง (Experiment) ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะสามารถทำกิจกรรมได้ดีขึ้น และเริ่มเข้าใจว่าความผิดพลาด ความรู้สึกแย่ๆที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้ใครถึงตาย บางคนอาจตระหนักได้ว่าได้เรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มขึ้น ผู้เรียนจะเริ่มอยากรู้อยากลองและผลักดันตัวเองออกนอก comfort zone มากขึ้น ผู้สอนควรสังเกตพฤติกรรมนี้และให้รางวัลหรือชมเชย ไม่จำเป็นต้องเป็นรางวัลที่มีมูลค่าเงินสูง แต่มีค่าทางใจ เช่น ให้ดาวติดสมุด ลูกอม เป็นต้น กลุ่มไหนได้รางวัลเหล่านี้มากที่สุดอาจได้รางวัลใหญ่ เช่น คุกกี้ ตอนจบคลาส
6. ขั้นตัดสินใจ (Decision) หากขั้นตอนทดลองผ่านไปได้ด้วยดี ผู้เรียนจะตัดสินใจยอมรับ หยุดต่อต้าน และลงมือตั้งใจทำกิจกรรมเพื่อเรียนรู้ อย่างไรก็ตาม ในขั้นนี้ยังเร็วไปที่จะบอกว่าผู้เรียนได้เปลี่ยนทัศนคติแล้ว
7. ขั้นบูรณาการ (integration) ในขั้นตอนนี้ผู้เรียนจะสามารถรวบรวมสิ่งที่เรียนรู้มาประกอบร่าง และจดจำบันทึกลงในสมอง ผู้เรียนจะสามารถต่อยอดนำเอาความรู้ดังกล่าวมาพัฒนาทักษะใหม่ๆ แต่ผู้เรียนจะไม่รู้ตนเอง ผู้สอนจะต้องชี้ให้เห็นถึงพัฒนาการเหล่านั้น
จจะเห็นว่าผู้สอนมีความสำคัญในการก้าวผ่านทุกขั้นตอนของผู้เรียนในรูปแบบ active learning การจัดการทุกขั้นตอนต้องอาศัยความใส่ใจ เรียนรู้พฤติกรรมผู้เรียน การวางแผนรับมือ และเลือกวิธีและเวลาตอบสนองที่ถูกต้อง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น